เมนู

ทุฏฐัฏฐกสูตรที่ 3


ว่าด้วยเดียรถีย์และมุนี


[410] เดียรถีย์บางพวก มีใจประ-
ทุษร้าย ย่อมติเตียนโดยแท้ แม้อนึ่ง พวก
ชนที่ฟังคำของเดียรถีย์เหล่านั้นแล้ว ปลงใจ
เชื่อจริง ก็ติเตียน แต่มุนีย่อมไม่เข้าถึงการ
ติเตียนที่เกิดขึ้นแล้ว เพราะเหตุนั้น มุนีย่อม
ไม่มีหลักตอ คือ ราคะ โทสะ และโมหะ
ในโลกไหน ๆ.
บุคคลผู้ถูกความพอใจครอบงำแล้ว
ตั้งมั่นอยู่ในความชอบใจ จะพึงล่วงทิฏฐิของ
ตนได้อย่างไรเล่า บุคคลกระทำทิฏฐิเหล่านั้น
ให้บริบูรณ์ด้วยตนเอง รู้อย่างใด ก็พึงกล่าว
อย่างนั้น.
ผู้ใดไม่ถูกเขาถามเลย กล่าวอวดอ้าง
ศีลและวัตรของตนแก่ผู้อื่น ผู้ฉลาดทั้งหลาย
กล่าวผู้นั้นว่า ผู้ไม่มีอริยธรรม, ผู้ได้กล่าว
อวดตนด้วยตนเอง ผู้ฉลาดทั้งหลายกล่าว
การอวดของผู้นั้นว่า ผู้นี้ไม่มีอริยธรรม.

ส่วนภิกษุผู้สงบ มีตนดับแล้ว ไม่
กล่าวอวดในศีลทั้งหลายว่า เราเป็นผู้ถึง
พร้อมแล้วด้วยศีล ผู้ฉลาดทั้งหลายกล่าว
ภิกษุนั้นว่า มีอริยธรรม.
ภิกษุใดไม่มีกิเลสเครื่องฟูขึ้นในโลก
ไหน ๆ ผู้ฉลาดทั้งหลายกล่าวการไม่กล่าว
อวดของภิกษุนั้นว่า ภิกษุนี้มีอริยธรรม.
ธรรม คือ ทิฏฐิ อันปัจจัยกำหนด
ปรุงแต่งแวดล้อม ไม่ผ่องแผ้ว ย่อมมีแก่
ผู้ใด ผู้นั้นเป็นอย่างนี้ เพราะเหตุที่ผู้นั้นเห็น
อานิสงส์ มีคติวิเศษเป็นต้นในตน ฉะนั้น
จึงเป็นผู้อาศัยทิฏฐิ อาศัยความกำเริบที่มี
อยู่นั้น.
นรชนตัดสินธรรมที่ตนยึดมั่นแล้ว
ในธรรมทั้งหลาย ไม่พึงล่วงการยึดมั่นด้วย
ทิฏฐิได้โดยง่ายเลย เพราะเหตุนั้น นรชน
ย่อมยึดถือและถือมั่นธรรม ในเพราะความ
ยึดมั่นด้วยทิฏฐิเหล่านั้น.
บุคคลผู้มีปัญญา ไม่มีทิฏฐิอัน
ปัจจัยกำหนดแล้วในภพน้อยภพใหญ่ ในโลก

ไหน ๆ บุคคลผู้มีปัญญานั้นละมายาและ
มานะได้แล้ว จะพึงถึงการนับเข้าในคติ
พิเศษในนรกเป็นต้น ด้วยคติพิเศษอะไร
บุคคลผู้มีปัญญานั้น ไม่มีตัณหาและทิฏฐิ.
ก็บุคคลผู้มีตัณหาและทิฏฐิ ย่อมเข้า
ถึงวาทะในธรรมทั้งหลาย ผู้นั้นจะพึงกล่าว
กะพระขีณาสพผู้ไม่มีตัณหาและทิฏฐิ ผู้กำ-
หนัดหรือว่าผู้ประทุษร้ายได้อย่างไร ด้วย
ความกำหนัดหรือความประทุษร้ายอะไร
ความเห็นว่าเป็นตน หรือความเห็นว่าขาด
สูญ ย่อมไม่มีแก่พระขีณาสพนั้นเลย เพราะ
พระขีณาสพนั้น ละทิฏฐิได้ทั้งหมดในอัต-
ภาพนี้ ฉะนี้แล.

จบทุฏฐัฏฐกสูตรที่ 3

อรรถกถาทุฏฐัฏฐกสูตรที่ 3


ทุฏฐัฏฐกสูตร มีคำเริ่มต้นว่า วทนฺติ เว ทุฏฺฐมนาปิ เดียรถีย์
บางพวกมีใจประทุษร้ายย่อมติเตียนโดยแท้ ดังนี้.
พระสูตรนี้มีการเกิดขึ้นอย่างไร ?
พระผู้มีพระภาคเจ้าตรัสการเกิดแห่งคาถาต้นไว้ในพระสูตรแล้ว. พวก
เดียรถีย์ทนไม่ได้ที่เห็นลาภสักการะเกิดขึ้นแด่พระผู้มีพระภาคเจ้า และภิกษุสงฆ์
จึงส่งนางสุนทรีปริพาชิกาไป. นัยว่านางสุนทรีปริพาชิกานั้นเป็นนางงามประจำ
ชนบท ได้เป็นปริพาชิกาเพราะนุ่งห่มผ้าขาว. นางอาบน้ำชำระร่างกายแล้วตก
แต่งด้วยผ้าสะอาดและทัดทรงดอกไม้ ประพรมด้วยของหอมเครื่องลูบไล้ ใน
เวลาที่ชาวกรุงสาวัตถีฟังธรรมของพระผู้มีพระภาคเจ้าแล้วออกจากพระเชตวัน
นางก็ออกจากกรุงสาวัตถีมุ่งหน้าไปพระเชตวัน เมื่อชนทั้งหลายถามว่า จะไป
ไหน นางก็ตอบว่าไปเพื่อให้พระสมณโคดมและสาวกของพระองค์อภิรมย์ แล้ว
เดินผ่านไปทางซุ้มประตูพระเชตวัน เมื่อซุ้มประตูพระเชตวันปิด จึงเข้าไปยัง
เมือง พอสว่างนางก็ไปพระเชตวันอีกเดินเตร่ทำเป็นเหมือนจะเก็บดอกไม้ใกล้
พระคันธกุฎี. ก็เมื่อนางถูกชนทั้งหลายที่มาอุปัฏฐากพระพุทธเจ้าถามว่า มาทำ
ไม ก็ตอมเลี่ยงไปเลี่ยงมาอยู่อย่างนั้นแหละ. พอล่วงไปครึ่งเดือนพวกเดียรถีย์
จึงฆ่านางสุนทรีปริพาชิกาเสียแล้วเอาไปฝังไว้ที่คูเมือง พอสว่าง ก็ทำเป็นเอะอะ
ว่า พวกเราไม่เห็นนางสุนทรี จึงไปทูลพระราชา พระราชาทรงอนุญาตแล้วจึง
เข้าไปยังพระเชตวัน ทำเป็นเหมือนค้นหาอยู่ แล้วยกนางสุนทรีขึ้นจากที่ที่ฝั่งไว้